จากนี้เรื่องราวปตท. ย่อมน่าสนใจในวงกว้างมากขึ้นอย่างแน่นอน ขอถือโอกาสนี้สำรวจและสัมผัสโมเดลทางธุรกิจบางระดับ พัฒนาการใหม่ๆบางมิติของธุรกิจของปตท.ไม่เพียงสะท้อนโอกาสที่เปิดขึ้นอย่างกว้างขวาง รัฐวิสาหกิจแปลงกายทั้งหลายเฝ้ามองด้วยใจจดจ่อ ที่สำคัญมองเห็นสะท้อนพัฒนาทางสังคมและอิทธิพลแกนนำของอำนาจ
ปตท.เรียกธุรกิจใหม่ที่น่าทึ่งจะกล่าวถึงนี้ว้า ธุรกิจปิโตรเคมี(Petrochemical Business) ขณะที่คูแข่งและพันธมิตรที่น่าเกรงขามเพียงรายเดียวของไทย-เอสซีจี เรียกว่า ธุรกิจเคมีภัณฑ์ (Chemicals business) ว่าไปแล้วโครงสร้างธุรกิจครบวงจรของทั้งสอง ไม่ซ้อนทับกันทีเดียว
ยุคที่ 1
โครงสร้างและการจัดสรรครั้งใหญ่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นอุตสาหกรรมปิโตรเคมีครบวงจรในประเทศไทย ผมเคยเขียนพาดพิงไว้ “บางคนมองว่าเป็นยุคของการจัดสรร โอกาสและกระบวนการสร้างความมั่งคั่งครั้งสุดท้าย ของกลุ่มอิทธิพลดั้งเดิมของสังคมธุรกิจไทย ก่อนยุคโลกาภิวัฒน์” (จากเรื่อง มาจากแรงบีบคั้น?)
แผนแม่บทโครงการปิโตรเคมีของรัฐ ซึ่งก่อตั้งบริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด(National Petrochemical Corporation Ltd.หรือ NPC) เมือปี 2527 มีเป้าหมายสร้าง Petrochemical Complexขั้นต้นของอุตสาหกรรม โดยนำก๊าซธรรมชาติที่เพิ่งถูกขุดขึ้นจากอ่าวไทยมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ตามความหวังอัน”โชติช่วงชัชวาล”
ทั้งนี้อยู่ภายใต้ยุทธ์ศาสตร์อันหนักแน่นมั่นคงยุครัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยมี ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในขณะนั้น เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญผลักดันอย่างแข็งขัน โดยคัดเลือกผู้ร่วมทุนฝ่ายเอกชนที่บุกเบิกทางการค้าและการผลิตในอุตสาหกรรมนี้ขึ้นมา 4 ราย เข้าร่วมโครงการปิโตรเคมีแห่งชาติ โดยปตท.ถือหุ้นจำนวนมากกว่ารายอื่นในฐานะ ผู้มีตำแหน่งทางยุทธ์ศาสตร์ในการดูแลและจัดการเรื่องพลังงานของรัฐ ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบพื้นฐานสำคัญของโครงการนี้
กลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อยเหล่านี้คือกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ถูกจัดสรรและอนุญาตให้มีขึ้นอย่างเข้มงวด
หนึ่ง– กลุ่มบริษัทไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด ของตระกูลเอื้อชูเกียรติ ซึ่งดำเนินธุรกิจนี้ด้วยการร่วมทุนกับญี่ปุ่นก่อนหน้านั้น สอง- กลุ่มศรีกรุงวัฒนาในฐานะผู้นำเข้าเม็ดพลาสติกโดยมีธนาคารกรุงเทพเป็นแกนสำคัญ ถือว่าเป็นที่อิทธิพลอย่างมากในยุคนนั้น สาม- กลุ่มทีพีไอ ของประชัย เลี้ยวไพรัตน์ ดำเนินธุรกิจนี้มาก่อนใครๆ และสี่-เครือซิเมนต์ไทยหรือเอสซีจี ถือว่าเป็นรายใหม่ที่ไม่เคยมีธุรกิจเกี่ยวข้องโดยตรงมาก่อน แต่มีภาพพจน์เป้นกลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำของไทย
นับเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของแผนการทางยุทธ์ศาสตร์ใหญ่ที่สุดของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในขณะนั้นหน่วยงานวางแผนของรัฐแห่งนี้ทรงอิทธิพลอย่างมาก ถือเป็นผลงานอันภาคภูมิใจของ ดร.เสนา อุนากูล เลขาธิการ(2523-2532) ขณะนั้น และมี ดร.สาวิตต์ โพธิวิหค บุคคลสำคัญดูแลโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออกอย่างต่อเนื่องทั้งในตำแหน่งข้าราชการประจำ จนหลายครั้งเป็นนักการเมืองหรือรัฐมนตรีก็ยังมีบทบาทดูแล แผนการทางยุทธ์ศาสตร์นี้อย่างต่อเนื่อง
ดร.สาวิตต์ โพธิวิหค ตามคำนิยามของผม ถือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีบทบาทในสังคมยุคนั้น เป็นนักเรียนนอก เข้ามามีบทบาทในช่วงหลังสงครามเวียดนาม ยุคที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวมากขึ้น ซับซ้อนมากขึ้น จะถือคนรุ่นเดียวกัน ต่อมามีบทบาทมากโดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ อาทิ ชุมพล ณ ลำเลียง ศิวะพร ทรรทรานนท์ ธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ ปรีดิยาธร เทวกุล ในภาคเอกชน โอฬาร ไชยประวัติ เอกกมล คีรีวัฒน์ ปิยสวัสดิ์ อัมระนันท์ จากภาครัฐ เป็นต้น บุคคลเหล้าเป้นองค์ประกอบที่”ดูดี”ของโครงสร้างอำนาจทางสังคมยุคนั้น และต่อเนืองมา
โครงสร้างนี้ถือเป็นรากฐานของอุตสาหกรรมใหญ่ และเป็นรากฐานของการกำเนิดนิคมอุตสาหกรรมที่ขยายใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ว่าปัญหาที่เกิดที่มาบตาพุด มักจะถูกเชื่อมโยงมาถึงบุคคลในอดีตนี้เสมอ โดยเฉพาะ ดร.สาวิตต์ โพธิวิหคซึ่งมีบทบาทในฐานะที่ปรึกษาคนสำคัญของรัฐบาลชุดนี้ด้วย บทสนทนาล่าสุดดูเหมือนเขายอมรับว่าการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก ดำเนินไปเกินกว่าจินตนาการไว้แต่แรก
จากนั้นเมื่อโครงการเดินหน้าไปอย่างดี ในช่วงปี2533มีโครงการะยะที่สอง โดยตั้งบริษัทไทยโอเลฟินส์ ถือเป็นการรองรับการขยายของอุตสาหกรรมต่อเนื่องอย่างหลากหลายมากขึ้น โครงสร้างผู้ถือหุ้นยังคล้ายๆเดิม โดยมีปตท.ถือหุ้นใหญ่
บทบาทปตท.ดูเหมือนจำกัดไว้อย่างที่ควรจะเป็น ดำเนินกิจการอย่างมีโฟกัส ด้านจัดหาน้ำมันและก้าซธรรมชาติ รวมทั้งขยายตัวแนวตั้ง การเริ่มต้นลงทุนและดำเนินด้านสำรวจและผลิตเอง ในธุรกิจปิโตรเคมีจำกัดเพียงผู้ถือหุ้นในบริษัทผลิตต้นธารเท่านั้น ในขณะเดียวกันกลุ่มธุรกิจรายอื่นก็ดำเนินแผนการขยายตัวตามแรงบันดาลใจทางธุรกิจของแต่ละราย ดูเหมือนจะมีเพียงเครือซิเมนต์ไทยหรือเอสซีจี กับทีพีไอ เท่านั้นมีความแข็งขันในเรื่องนี้อย่างมาก
ยุคที่2
พรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ ปี 2542 ตราขึ้นในสมัยชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นจุดเริ่มต้นที่ยังมองไม่เห็นภาพชัดเจนของยุคใหม่ของปตท.
“เป็นเครื่องมือของรัฐเมื่อมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนสถานะของรัฐวิสาหกิจจากรูปแบบเดิมที่เป็นรัฐวิสาหกิจประเภทองค์การของรัฐ … โดยการกระจายหุ้นที่รัฐถือไว้ให้แก่ภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนและการบริหารจัดการในกิจการที่รัฐวิสาหกิจเดิมดำเนินการอยู่ได้ต่อไปในอนาคต” บางตอนของหมายเหตุ ท้าย พรบ.นี้ว่าไว้
การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้แปรสภาพรัฐวิสาหกิจ มาเป็นบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ 2542 โดยให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน หนี้สิน ความรับผิดชอบ พนักงาน ลูกจ้างและส่วนธุรกิจทั้งหมดของ ปตท. ไปอยู่ที่ใหม่(1 ตุลาคม 2544)
ปตท.ได้เข้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงปลาบปี 2544 ในช่วงปีแรกราคาหุ้นก็ขยับขึ้นอย่างช้าๆ จนถึงปี 2547สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เป็นช่วงเริ่มต้นยุคทักษิณ ชินวัตร(นายกรัฐมนตรี 17กุมภาพันธ์2544–19 กันยายน2549)ซึ่งเต็มไปด้วยการแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยมีทีมงานมีแผนของตนเองอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ประหนึ่งมองข้ามหน่วยงานวางแผนที่เคยทรงอิทธิพลอย่างสภาพัฒน์ฯไป โมเดลความเชื่อดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาในยุคเทคโนแครตก่อนหน้านั้น ไม่มีหลักประกันว่าจะถูกปกป้องไว้ได้ทุกอย่าง
ในปี 2547เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างชัดเจนจากวิกฤติครั้งใหญ่ที่ยืดเยื้อพอสมควร การใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นในรอบสองทศวรรษ เช่นเดียวราคาน้ำมันเริ่มสูงขึ้น ปตท.ขยายตัวจากสินทรัพย์ระดับ 3แสนล้านบาทในปี2545 เพิ่มเป็น 9 แสนล้านบาทในปี2547 จากกำไรประมาณ 24,000 ล้านบาท ในปี2545 เพิ่มเป็นประมาณ 90,000ล้านบาทในปี 2548-9 ขณะเดียวกันราคาหุ้นจากไม่ถึง 50 บาทในวันเข้าตลาดหุ้นในปลายปี 2545เพิ่มขึ้นทะลุ400 บาทในปี 2547
ปรากฏการณ์นี้บอกว่าความเป็นรัฐวิสาหกิจในความหมายเดิมที่ว่าด้วยยุทธ์ศาสตร์ความมั่นคงด้านพลังงาน กำลังเปลี่ยนไป กลายเป็นบริษัทและหลักทรัพย์ที่สร้างโอกาสอย่างมากให้กับนักลงทุนระดับกว้างขึ้น แม้ว่ากระทรวงการคลังจะถือหุ้นข้างมาก ก็คงมองความเป็นไปของกลไกลอย่างที่ผ่านเลยไป ผลประโยชน์แม้อาจะมากขึ้นก็คงมาจากเงินปันผล ปตท.กลายเป็นแม่เหล็กหรือหุ้นบลูชิพ มีบทบาทนำในตลาดหุ้นในสถานการณ์หลังจากตลาดหุ้นตกต่ำมานานพอสมควร เป็นที่แน่ชัดว่าย่อมตามด้วยความคาดหมายของนักลงทุนที่สูงขึ้นๆ มีผู้เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ในนามนักลงทุนจำนวนมากขึ้นๆ วงจรว่าด้วยแรงกดดันเพื่อรักษาระดับราคาหุ้น กลายเป็นปัจจัยหนึ่งของการบริหารจัดการอย่างอัตโนมัติ
อีกมิติหนึ่งโอกาสทางธุรกิจที่ว่าด้วยยุคทองของกิจการด้านพลังงานเปิดกว้างขึ้น จากผลประกอบการที่ดี ได้กระตุ้นและเปลี่ยนแปลงเจตนารมณ์เดิมจากกิจการพลังงานที่ดูแลความมั่นคงในประเทศ ไปสู่ความทะเยอทะยานเป็นกิจการพลังงานระดับโลก เครือข่ายธุรกิจพลังงานครบวงจรภายใต้การสนับสนุนของรัฐ เป็นโมเดลของประเทศกำลังเติบโต น่าสนใจอย่างมากในเวลานั้น
ในช่วงเวลาที่ผ่านไปนั้น อุตสาหกรรมปิโตรเคมีเดิมก่อร่างสร้างเมื่อสองทศวรรษที่แล้ว ไม่รุ่งโรจน์”โชตช่วงชัชวาล”อย่างที่คิด การลงทุนขนาดใหญ่บวกกับธรรมชาติของธุรกิจผันแปรไปตามตลาดโลก โดยเฉพาะมีความอ่อนไหวกับวิกฤติอย่างมากด้วย ผู้เล่นที่มาจากระบบจัดสรรธุรกิจอย่างเข้มงวดด้วยโมเดลเดิมในยุคเทคโนแครต เผชิญปัญหาถ้วนหน้า ความพยายามในการแก้ปัญหา กำลังนำไปสู่การเกิดขบวนการหลอมรวมครั้งใหญ่
เอสซีจีแม้จะอ่อนล้าไปบางช่วง แต่ก็กลับฟื้นตัว เริ่มขยายอาณาจักรและหลอมรวมกิจดารอื่นๆเข้ามา(ที่สำคัญคือผู้บุกเบิก และถือหุ้นร่วมกันในบริษัทปิโตรเคมีแห่งชาติ—ตระกูลเอื้อชูเกียรติ) ขณะที่คู่แข่งรายสำคัญพีทีไอ เผชิญปัญหาอย่างหนักหน่วงที่สุด ไม่ว่าประชัย เลียวไพรัตน์จะพยายามทุกวิถีทางแต่ดูแล้วไปไม่รอด บทเรียนครั้งนี้ไม่เพียงเป็นภาพสะท้อนของความคิดการณ์ใหญ่อย่างมากท่ามกลางโมเมนตัมการแข่งขันเอาเป็นเอาตายเท่านั้น ยังหมายถึงสถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนไปได้เสมอ รวมทั้งความเชื่อมั่นและ สายสัมพันธ์ดั้งเดิม
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทยกำลังถูกสถานการณ์บีบบังคับให้หลอมละลายครั้งใหญ่ ด้วยแนวคิดที่ว่าประเทศไทยเล็กเกินไปที่จะมีกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี ขนาดเล็กและกลาง หลายแห่ง อย่างหลากหลาย กระจัดกระจาย และไม่มีบูรณาการ
โจทก์ข้อนี้ดูเหมือนว่าแค่สองคำตอบเท่านั้น การหลอมรวมจะต้องเกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่ง ไม่เอสซีจี ก์ปตท. ขณะนั้นวงในก็คงคาดเดากันไม่ยากว่า รัฐบาลทักษิณอยากจะเห็นความเป็นไปในรูปแบบใด
เมื่อรู้ว่าจะต้องเดินทางสายใหม่ที่ที่ยิ่งใหญ่และน่ายินดี ด้วยสร้างเครือข่ายธุรกิจใหม่อย่างยิ่งใหญ่ชั่วข้ามคืนปตท.ไม่เพียงจะเข้าครอบงำกิจการของทีพีไอ(เรื่องราวของทีพีไอ เป็นประหนึ่งภาพยนตร์ซีรีย์หลายตอน ตอนหนึ่งที่สำคัญ “ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ LOCAL HERO ” ผมเขียนไว้เมื่อปี2543) ตามกระบวนการหลอมรวมที่ถูกกำหนดเป็น Agenda ไว้เท่านั้น ยังได้เข้าชื่อกิจการปิโตรเคมีรายเล็กๆอีกหลายแห่ง ตามขั้นตอนมีวางแผนไว้อย่างดี
ขั้นที่หนึ่ง ควบคุมอุตสาหกรรมขั้นพื้นฐานด้วยการควบรวมกิจการต้นนำทั้งหมดที่เคยถือหุ้นใหญ่ โดยเฉพาะปิโตรเคมีแห่งชาติ และไทยโอเลฟินส์
ขั้นสอง ซื้อกิจการในขั้นปลายที่เป็นรายเล็กๆและไม่อาจะอยู่ตามลำพังได้ ตามแนวคิดของอุตสาหกรรมครบวงจรนี้ในโมเดลระดับโลก
สาม การเข้าดูกิจการที่ที่พีไอ ผ่านขั้นตอนที่ดูยุ่งยากพอประมาณ
เพียง ปี2549 ปตท.ก็สามารถสร่างอาณาจักรธุรกิจระดับภูมิภาคขึ้นมาอีกแห่งหนึ่งนั่นคือ บริษัทปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีขนาด(สินทรัพย์ ประมาณ2 แสนล้านบาท)พอฟัดพอเหวี่ยงกับธุรกิจเคมีภัณฑ์ของเอสซีจี ซึ่งใช้เวลากว่าสองทศวรรษในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ยุคที่ 3
จากแผนการยุทธ์ศาสตร์ของเทคโนแครตในยุคเปรม ติณสูลานนท์เมื่อ2ทศวรรษที่แล้ว เข้าสู่การนำรัฐวิสาหกิจแปลงกายอยู่ในรูปบริษัทเป็นหลักทรัพย์บลูชิพในตลาดหุ้น ในยุครัฐบาลประชานิยม เข้าสู่การหลอมรวมครั้งใหญ่
ทุกวันนี้มีเพียงปตท.กับเอสซีจีเท่านั้น ดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีครบวงจรเป็นรายใหญ่ในประเทศไทยและในอาเซียน ตามแนวติดที่ว่าอุตสาหกรรมนี้จะมีความสามารถในการแข่งขัน ต้องมีตำแหน่งในระดับภูมิภาค แต่ภายใต้กระบวนการหลอมรวมกัน เอสซีจีได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นข้างน้อยมีพลังอยู่ในปตท.เคมิคอลด้วยประมาณ 20%
เป็นความสืบเนื่องจากจากจัดสรรโอกาสครั้งแรกๆในอุตสาหกรรมนี้ เอสซีจีถือหุ้นจำนวนหนึ่งในปิโตรเคมีแห่งชาติและไทยโอเลฟืนส์ในสัดส่วนพอสมควร เมื่อรวมกับพันธมิตรรายอื่นๆอีก จึงมีสัดส่วนที่น่าสนใจ
เป็นบุคลิกของอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ สะท้อนความเป็นไปของพัฒนาอย่างไม่ราบเรียบและคงเส้นคงว่า สุดท้ายสังคมไทยมีเครือข่ายอุตสาหกรรมปิโตรเคมีครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดแหงหนึ่งระดับภูมิภาค
เป็นปรากฏการณ์และพัฒนาที่น่าทึ่งน่าศึกษาใช่ไหมครับ